เอฟเอพรีเมียร์ลีก
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟุตบอลลีก (Football League) เป็นองค์กรจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพภายในประเทศอังกฤษในระดับสูงสุดมาก่อน โดยก่อตั้งในปี ค.ศ. 1888 เมื่อวิลเลียม แม็กเกรเกอร์ (William McGregor) เป็นผู้ริเริ่มเชิญชวนสโมสรฟุตบอลอาชีพชั้นนำ 12 แห่ง ร่วมกันจัดตั้งฟุตบอลลีก ได้แก่ เปรสตัน นอร์ธเอนท์ (Preston North End), โบลตัน วันเดอเรอร์ (Bolton Wanderers), เอฟเวอร์ตัน (Everton), เบิร์นลี่ย์ (Burnley), แอ็คกลิงตัน (Accrington), แบล็คเบิร์น โรเวอร์ (Blackburn Rovers), แอสตัน วิลล่า (Aston Villa), เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (West Bromwich Albion), วูฟแฮมตัน วันเดอเรอร์ (Wolverhampton Wanderers), น็อต เคาตี้ (Notts County), ดาร์บี้ เคาตี้ (Derby County) และ สโต๊ก (Stoke) เพื่อจัดให้มีการแข่งขันกันระหว่างสโมสรสมาชิกฟุตบอลลีกแห่งนี้ เริ่มแข่งขันฤดูกาลแรกในปี ค.ศ. 1888/1889 เริ่มแรกมีเพียงดิวิชั่นเดียวเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1891 จัดให้มี ดิวิชั่นสอง (2nd Division) และขยายสมาชิกเพิ่มเป็น 18 สโมสร ต่อมาได้มีระเบียบให้สโมสรที่มีคะแนนต่ำสุดสองทีมในดิวิชั่นหนึ่ง ต้องตกไปอยู่ในดิวิชั่นที่สอง ขณะเดียวกัน สโมสรที่ได้คะแนนสูงสุดสองทีมในดิวิชั่นสอง ได้เลื่อนชั้นมาอยู่ในดิวิชั่นหนึ่งในฤดูกาลถัดไปช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สโมสรฟุตบอลทางปักษฺ์ใต้ของอังกฤษร่วมกันก่อตั้ง ฟุตบอลลีกภาคใต้ (Southern Football League) ต่อมาในปี ค.ศ. 1920 ลีกดังกล่าว ได้กลายเป็น ดิวิชั่นสาม (3rd Division) ในสังกัดฟุตบอลลีก จากนั้นในปี ค.ศ. 1921 สโมสรในภาคเหนือก็รวมกันจัดเป็นดิวิชั่นสามเช่นกัน ทำให้ขณะนั้น ดิวิชั่นสามแยกออกเป็น "ตอนใต้" (Southern Section) และ "ตอนเหนือ" (Northern Section) สโมสรที่ได้คะแนนสูงสุดของแต่ละฝ่ายจะได้เล่อนชั้นไปเล่นในดิวิชั่นสอง สโมสรในดิวิชั่นสองที่ได้คะแนนต่ำสุดสองทีมจะตกชั้นมาเล่นในดิวิชั่นสาม ส่วนสโมสรที่ได้คะแนนต่ำสุดของดิวิชั่นสามต้องออกจากสมาชิกฟุตบอลลีก ต้องยื่นใบสมัครกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง ต่อมาดิวิชั่นสามได้มีการยุบรวมกัน และได้เพิ่ม ดิวิชั่นสี่ เป็นดิวิชั่นใหม่สุดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากนายรูเพิร์ธ เมอร์ด๊อก นักธุรกิจสื่อสารระดับโลก เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สกายทีวี มีบทบาทสำคัญเจรจาล๊อบบี้ให้สโมสรฟุตบอลที่จะลงแข่งขันในดิวิชั่นหนึ่งประจำ ฤดูกาล 1992/1993 ถอนตัวจากฟุตบอลลีกออกมาจัดตั้งพรีเมียร์ลีก ทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษที่มีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง ขณะที่ ฟุตบอลลีกได้เปลี่ยนชื่อดิวิชั่นสองเดิมเป็นดิวิชั่นหนึ่ง และดิวิชั่นอื่นต่ำลงไปก็ปฏิบัติเช่นเดียวกันเอฟเอพรีเมียร์ลีก (FA Premier League) หรือนิยมเรียกว่า พรีเมียร์ลีก (Premier League) เป็นระบบการแข่งขันฟุตบอลลีกในระดับสูงสุดของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) ภายใต้การบริหารของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือมีชื่อตามผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นทางการว่า บาร์เคลส์ พรีเมียร์ชิพ เนื่องจากในปัจจุบัน สนับสนุนโดย บริษัทการเงินบาร์เคลส์การแข่งขันพรีเมียร์ลีก เป็นที่รวมของ 20 สโมสรฟุตบอลในระดับสูงสุดของอังกฤษเข้าด้วยกัน โดยปัจจุบัน มีเพียง 4 ทีมเท่านั้น ที่เคยชนะเลิศในการแข่งขันรายการนี้ ได้แก่ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด,อาร์เซน่อล,เชลซี และแบล็กเบิร์น โรเวอรส์

ประวัติ
แต่เดิมฟุตบอลลีกแห่งนี้ ใช้ชื่อว่า ฟุตบอลลีกดิวิชันหนึ่ง ซึ่งมีจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) และถือว่าเคยเป็นลีกฟุตบอลที่ยาวนานที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2535 ในฤดูกาล 1992-93 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจากรูเพิร์ธ เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) นักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่ายสถานีโทรทัศน์สกาย (BSkyB) พยายามผลักดันให้สโมสรฟุตบอลที่จะลงแข่งขันในดิวิชันหนึ่งประจำฤดูกาล 1992-93 ถอนตัวออกมาจัดตั้งเป็นพรีเมียร์ลีกทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษที่มีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง ขณะเดียวกันทางฟุตบอลลีกเดิมได้เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชันสอง มาเป็น ดิวิชันหนึ่ง และดิวิชันอื่นได้เปลี่ยนตามกันไป[1]

ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลอาชีพของอังกฤษตกต่ำอย่างมาก เกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าเรื่องของสนามกีฬาที่มีปัญหา เหตุการณ์อันธพาลลูกหนัง หรือที่เรียกว่าฮูลิแกน ทำลายภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ ไฟไหม้อัฒจันทร์ วันที่ 11 พฤษภาคม 2528 ที่สนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลแบรดฟอร์ดซิตี ในระหว่างการแข่งขัน มีผู้เสียชีวิต 56 คน เหตุการณ์วันที่ 15 เมษายน 2532 ที่สนามฟุตบอลฮิลส์เบอโรของสโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ มีผู้คนเหยียบกันเสียชีวิตกว่า 96 คน นอกจากนี้โศกนาฏกรรมเฮย์เซลที่มีผู้เสียชีวิต 39 คน ทำให้ยูฟ่าสั่ง ห้ามไม่ให้สโมสรจากอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันชิง ถ้วยสโมสรในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี อันธพาลลูกหนังที่ตามไปเชียร์ทีมที่ชื่นชอบ หลังจากการแข่งขันจะเกะกะระราน เข้าผับดื่มกินจนเมามาย บ้างก็วิวาทกับแฟนฟุตบอลเจ้าถิ่นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายบางครั้งรุนแรงถึงขั้นจลาจลหรือไม่ก็มีคนเสียชีวิต โดยโศกนาฎกรรมเฮย์เซล์ส่วนหนึ่งมาจากคนกลุ่มนี้เช่นกันหลายเหตุการณ์ทำให้แฟนฟุตบอลไม่สามารถชมการแข่งขันได้อย่างสงบสุข เนื่องด้วยกลัวจะโดนลูกหลง ประกอบกับสภาพสนามที่ย่ำแย่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการป้องกันเหตุฉุกเฉินอย่างดีพอ ทำให้ชาวอังกฤษหลายคนตัดสินใจรับชมการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ที่บ้าน แทนที่จะเดินทางมาเชียร์ในสนามดังเช่นอดีต ช่วงทศวรรษ 1980 รายได้ของสโมสรจากค่าผ่านประตูซึ่งเป็นรายได้หลักได้ลดลงอย่างมาก มีเพียงสโมสรชั้นนำไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีกำไร ในฤดูกาล 1986-87 ทุกสโมสรฟุตบอลมีกำไรสุทธิรวมเพียง 2.5 ล้านปอนด์ พอถึงฤดูกาล 1989-90 รวมทุกสโมสรขาดทุน 11 ล้านปอนด์ ทำให้นายทุนไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจกีฬาอาชีพนี้อย่างเต็มที่ หลายสโมสรในช่วงนั้นมีข่าวว่าใกล้จะล้มละลายภายหลังเหตุการณ์ที่สนามฮิลส์เบอโร รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมีลอร์ดปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาระดับรองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ โดยผลการไต่สวนซึ่งเรียกว่า รายงานฉบับเทย์เลอร์ (Taylor Report) ได้กลายมาเป็นเอกสารสำคัญนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอล อังกฤษ เพราะกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงสนามแข่งขัน ที่สำคัญคืออัฒจันทร์ชมการแข่งขันต้องเป็นแบบนั่งทั้งหมด ห้ามไม่ให้มีอัฒจันทร์ยืนเพื่อความปลอดภัยของผู้ชมการแข่งขัน โดยทีมในระดับดิวิชัน 1 และ 2 ต้องปรับปรุงให้เสร็จในปี 2537 และ ดิวิชัน 3 และ 4 ให้เสร็จในปี 2542 ส่งผลให้การยืนชมฟุตบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมการชมฟุตบอลของคนอังกฤษมานาน บางแห่งก็มีชื่อเสียงอย่างเช่นอัตจันทร์ เดอะค็อป ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลต้อง จบไป ถึงแม้ว่าในประเทศอังกฤษจะมีสโมสรฟุตบอลทั้งอาชีพและสมัครเล่นมากที่สุดใน โลก แต่สนามฟุตบอลส่วนใหญ่มีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม บางสโมสรในระดับดิวิชั่นหนึ่งหรือดิวิชั่นสองยังคงมีอัฒจันทร์ที่สร้างด้วย ไม้ ทำให้การปรับปรุงสนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลอังกฤษครั้งนี้ต้องใช้เงินลง ทุนมหาศาล ท่ามกลางสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงเพราะรายได้ลดลงอย่างมาก สโมสรเล็กบางแห่งซึ่งมีผู้ชมน้อยอยู่แล้วจึงใช้วิธีปิดตายอัฒจันทร์ยืน ส่วนสโมสรใหญ่ที่ฐานะการเงินดีกว่าก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะไม่อาจใช้วิธีเลี่ยงปัญหาแบบสโมสรเล็กได้รัฐบาลอังกฤษในขณะนั้นต้องเข้าช่วยเหลือโดยลดค่าธรรมเนียมหรือภาษีธุรกิจ พนันฟุตบอล นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนฟุตบอลจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้ฟุตบอลลีกเป็นคนจัดสรรให้สโมสรฟุตบอลซึ่งเป็นภาคีสมาชิกทั้ง 96 สโมสร นำไปพัฒนาปรับปรุงสนามแข่งขันของตนเอง แต่งบประมาณเท่านี้ต้องนับว่าน้อยมาก หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่ากันแล้วจะได้รับเงินเพียงสโมสรละ 1.08 ล้านปอนด์เท่านั้น ขณะที่สโมสรฟุตบอลชั้นแนวหน้าของลีกต้องใช้เงินในการณ์นี้สูงถึงกว่าสิบล้าน ปอนด์ สโมสรใหญ่ในดิวิชั่นหนึ่งจึงกดดันฟุตบอลลีกจัดสรรเงินให้มากกว่าสโมสรเล็ก เพราะหากไม่เสร็จทันตามกำหนดอาจจะถูกถอนใบอนุญาตได้ระบบการแข่งขัน

ผู้สนับสนุนในฤดูกาลต่างๆ
* 1993-2001: เบียร์คาร์ลิง (FA Carling Premiership)
* 2001-2004: บัตรเครดิตบาร์เคลย์การ์ด (Barclaycard Premiership)
* 2004-2007: ธนาคารบาร์เคลส์ (Barclays Premiership)
* 2007-2010: บาร์เคลส์พรีเมียร์ลีกส์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น